จับ 2โจรละอ่อน คู่หูเทคนิค! งัดบ้านรื้อวงจรปิด จับคนแก่มัด เรียก 20 ล.

พร้อมได้ทรัพย์สินเป็นทองรูปพรรณ น้ำหนักกว่า 9 บาท และเงินสดอีก 12,000 บาท หลังได้ทรัพย์สินทั้งหมดนายเอและเพื่อน ยังโทรศัพท์ไปเรียกค่าไถ่นางเสงี่ยมกับญาติ

ต่อมาญาติของนางเสงี่ยมได้เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองเชียงใหม่ ก่อนที่ตำรวจและลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบบ้านหลังเกิดเหตุเพื่อเก็บหลักฐานรอยนิ้วมือ ขณะที่ชุดสืบสวนได้ตามแกะรอยผู้ต้องหาจากหมายเลขบัญชีที่แจ้งให้ญาติโอนเงิน กระทั่งทราบหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ต้องหา และตามจับกุมตัวคนร้ายได้

เบื้องต้นนายเอ กล่าวว่าที่ตัดสินใจก่อเหตุเพราะความอยากได้ทรัพย์สิน พร้อมฝากเตือนเพื่อนวัยรุ่นว่า สิ่งที่ทำไม่คุ้มค่า และยิ่งใกล้เรียนจบยิ่งไม่ควรกระทำผิด โดยตนเองเหลือเวลาอีกเพียง 6 วันก็จะเรียนจบแล้ว ส่วนที่เลือกลงมือก่อเหตุด้วยวิธีการนี้และการเรียกค่าไถ่ก็เลียนแบบจากภาพยนตร์หลายเรื่องที่เคยดูมา

สองหนุ่มเรียนเทคนิคใกล้จะจบ ปวช.อยู่แล้ว ดันชวนกันไปงัดบ้านหลังใหญ่ที่เคยไปฝึกงาน บิดกล้องวงจรปิด 16 ตัว เข้าไปจับแม่เจ้าของบ้านมัด โทรเรียกค่าไถ่ 20 ล้าน ตร.แกะรอยจากบัญชีธนาคาร ตามจับได้ ยกมือไหว้บอกผมไม่ใช่โจรมืออาชีพ... 

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 19 ก.พ.59 พล.ต.ต.มนตรี สัมบุณณานนท์ ผบก.ภ.เชียงใหม่ พร้อมด้วย พ.ต.อ.วีระยุทธ ประสบโชคชัย ผกก. สภ.เมือง เชียงใหม่ พ.ต.อ.ดำเนิน กันอ่อง พงส.ผทค. พ.ต.ท.นิติพันธ์ สังขกร สว.สส.สภ.เมืองเชียงใหม่ ได้คุมตัวนายป้อม อายุ 18 ปี และนายปิ่น (นามสมมติ) อายุ 17 ปี ทั้งสองเป็นนักเรียน แผนกสถาปัตยกรรม ระดับปวช.3 วิทยาลัยเทคนิคแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ พร้อมรถจักรยานยนต์ฮอนด้าสกู๊ปปี้สีดำ ไม่ติดทะเบียน คันที่ใช้ก่อเหตุ ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ที่บ้านป่าจี้ ต.แม่เหียะ อ.เมืองเชียงใหม่

เจ้าหน้าที่คุมตัวทำแผนฯ

ทั้งนี้ เมื่อเที่ยงคืนเศษวันที่ 18 ก.พ ที่ผ่านมา ผู้ต้องหาทั้ง 2 ได้บุกเข้าไปชิงทรัพย์เจ้าของบ้าน โดยปีนขึ้นไปหันกล้องวงจรปิดรอบๆ บ้าน จำนวน 16 ตัวไปในทิศทางอื่น แล้วปีนกำแพงรั้วด้านหลังบ้านเข้ามา ปีนเข้าทางช่องลม เข้าไปรื้อระบบกล้องวงจรปิดของบ้านที่ห้องชั้นล่างออกทั้งหมด ก่อนที่จะหากุญแจสำรองของบ้านเปิดเข้าไปค้นหาทรัพย์สิน จนพบรองเท้า 1 คู่ที่หน้าห้องนอน จึงลงไปหามีดและกรรไกรในห้องครัว ย้อนกลับขึ้นมาชั้นสอง ใช้กุญแจสำรองเปิดเข้าไปพบ นางเสงี่ยม ปทุมไทย อายุ 62 ปี นอนเฝ้าบ้านอยู่ในห้องนอนชั้น 2 เพียงคนเดียว จึงจับมัดมือไพล่หลัง แล้วปิดปาก ค้นเอาทรัพย์สิน ได้สร้อยคอทองคำ 2 เส้น น้ำหนัก 5 บาท 1 เส้น 3 บาท 1 เส้น แหวนทองคำ 2 วง เงินสดฉบับละ 1,000 บาท รวม 14,000 บาท

เจ้าหน้าที่คุมตัวทำแผนฯ

จากนั้นผู้ต้องหา ยังขู่บังคับให้นางเสงี่ยม โทรศัพท์ไปหานายสุทธิพงษ์ ปทุมไทย อายุ 30 ปี ลูกชาย ซึ่งทำงานเป็นทนายความอยู่ กทม. เพื่อให้โอนเงินให้ 20 ล้านบาทเป็นค่าไถ่ แลกกับชีวิตของแม่ จนลูกชายได้ต่อรอง และให้โทรหา นางวิไลวรรณ คิง พี่สาวที่อยู่ประเทศอังกฤษ ให้โอนเงินให้ โดยผู้ต้องหาบอกเบอร์บัญชีของธนาคารแห่งหนึ่ง ก่อนพากันหลบหนีไปก่อน โดยก่อนจะหลบหนีคนร้ายทั้งสอง ยังพากันนั่งลงกราบผู้เสียหาย บอกว่า "ผมขอโทษผม ไม่ใช่เป็นโจรอาชีพ ที่เป็นโจรเพราะต้องการใช้เงิน"

ต่อมา นางวิไลวรรณ ลูกสาวที่อยู่ที่ประเทศอังกฤษ ได้โทรข้ามประเทศแจ้งให้น้องชาย โทรแจ้งตำรวจเข้าไปช่วยเหลือนางเสงี่ยม ปทุมไทย ผู้เป็นแม่ ที่ถูกมัดมือมัดปากอยู่ในห้องนอนออกมาอย่างปลอดภัย ส่วนคนร้ายหลบหนีไปแล้ว พร้อมกับขโมยเอาเซิร์ฟเวอร์กล้องวงจรปิด ไปทิ้งไว้ข้างซอยหน้าบ้าน

ลูกชายเจ้าของบ้าน ขอบคุณตำรวจ ช่วยจับคนร้าย ปิดคดีโดยเร็ว

พล.ต.ต.มนตรี สัมบุณณานนท์ ผบก.ภ.เชียงใหม่ กล่าวว่า หลังจากเกิดเหตุตำรวจได้แกะรอยคนร้ายโดยเช็กจากเลขบัญชีธนาคาร ที่คนร้ายส่งเอสเอ็มเอสไปให้ลูกสาวผู้เสียหาย โอนเงินจากประเทศอังกฤษมา 20 ล้านบาท โดยทางลูกสาวเหยื่อ บอกว่าจะโอนเงินมาให้ภายใน 1 ชั่วโมง คนร้ายจึงยอม ต่อมา ทางตำรวจได้ตรวจสอบจากบัญชีธนาคาร จึงตามไปจับได้ที่ห้องเช่าแฟลตเอื้ออาทรหนองหอย ถนนมหิดล ต.หนองหอย อ.เมือง เชียงใหม่ พร้อมกับเพื่อนผู้ต้องหา ซึ่งเป็นนักศึกษาห้องเดียวกัน

ทั้งนี้ ในชั้นการจับกุมยอมรับสารภาพว่า เป็นเพื่อนเรียนชั้นเดียวกัน เหลืออีก 6 วันก็จะเรียนจบ ปวช.3 แล้ว ที่มาก่อเหตุที่บ้านหลังดังกล่าว เพราะในช่วงฝึกงานเคยมาฝึกงานกับบริษัทตกแต่งภายในที่บ้านหลังนี้ จึงรู้ช่องทางเข้าออกและเห็นว่าบ้านปลูกสร้างรวมมูลค่า เกือบ 30 ล้านบาทบนเนื้อที่ 4 ไร่ น่าจะมีเงินทองของมีค่าเยอะ จึงชวนกันมาก่อเหตุ พร้อมกับกล่าวขอโทษ ญาติผู้เสียหายที่ตนทั้งสองได้กระทำลงไป เพราะต้องการเงิน และทำไปโดยขาดความยั้งคิด

หลังจากที่ทำแผนประกอบคำรับสารภาพแล้ว นายสุทธิพงษ์ ปทุมไทย อายุ 30 ปี ลูกชายนางเสงี่ยม ได้มอบเงินจำนวน 1 แสนบาทให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่สามารถจับกุมคนร้ายรายนี้ได้อย่างรวดเร็ว พร้อมกับได้ทรัพย์สินคืนมาครบ หลังจากนั้นตำรวจได้คุมตัวผู้ต้องหาส่งมอบให้ ร.ต.อ.เกษสิษฐ์ ต่อกัน พงส. ดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันชิงทรัพย์โดยมีอาวุธ และใช้กำลังประทุษร้ายต่อไป.